เปรตทาน การให้ทานแก่เปรต ผีอดอยาก
-----------------------------------------------------------------
.........1/ พระอาจารย์เหลียนฉือชี้แนะแก่ผู้ทำซือสือ(อุทิศอาหารแก่วิญญาณ)ว่า ไม่ควรปฏิบัติเป็นของเล่น
.........มิเช่นนั้น หากภูติผีเกิดจิตโทสะ อาจเอาถึงชีวิตได้ ภพภูมิของวิญญาณและคนแตกต่างกัน
.........ผีไม่สนใจว่าเธอจะเป็นยังไง หากเธอไม่สามารถทำให้เขาสยบได้ ผีก็ไม่เกรงใจเธอเช่นกัน
.........หากทำซือสือเพียงแค่เรื่องพิธีการบังหน้า ใจไม่มีมหาเมตตามหากรุณา ก็ยังเป็นการลบหลู่ธรรมะอีกด้วย
.........จะไม่ให้ภูตผีเขาคับแค้นใจได้อย่างไร พึงระลึกว่าการทำซือสือนั้น เป็นเพื่อการให้เขาเหล่านั้นหลุดพ้นจากความทุกข์
.........หากไม่จริงใจ ไม่เกิดสมาธิ ความคิดไม่ศรัทธาสำรวม แล้วจะให้เทพเทวาธรรมบาล สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายปกปักรักษาช่วยเหลือได้อย่างไร
-----------------------------------------------------------------
.........2/ อย่านึกว่าภูตผีนั้นหลอกได้ง่ายนะ บุญกรรมของคนกับผีนั้นก็ไม่ต่างกันนัก ต่างกันเพียงสภาวะของจิต ณ ขณะหนึ่งเท่านั้นเอง
.........หากขณะทำพิธีมักคิดนึกไปถึงเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง (ก็เหมือน) มีกุญแจเหล็กมาปิดล๊อคกระแสสมาธิ ทำให้เหล่าผีไม่สามารถรับอาหารนั้นได้
.........อย่างเช่นมีพระรูปหนึ่งเช่นกัน ขณะทำพิธีกลับไปนึกถึงเสื้อผ้าที่ตากไว้ตอนฝนตกอยู่ ทำให้เกิดความคิดฟุ้งซ่านขึ้นขณะทำพิธี จึงได้รับกรรมสนอง
.........กรรมที่สนองในชาตินี้เปรียบเหมือนกับ คนเราทำความชั่ว หากผลกรรมยังไม่สุกงอม ก็ยังไม่ได้รับผลกรรมนั้นๆ
.........แต่ภพภูมิวิญญาณไม่ใช่เช่นนั้น พวกเขามีอยู่จริง และอยู่ใกล้รายรอบคนเราอีกด้วย
.........กรรมที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณจึงสนองรวดเร็วมาก สุดท้ายมีพระภิกษุรูปหนึ่งเห็นภาพพระสงฆ์มากมายในสมาธิถูกจองจำในคุกมืด ด้วยใบหน้าทุกข์ตรม
.........พอได้ถามจึงรู้ว่า เป็นพระที่ทำซือสือแล้วไม่สำรวมศรัทธา และคิดฟุ้งซ่านมากรับกรรมนั่นเอง
-----------------------------------------------------------------
.........3/ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ตั้งใจทำซือสือใหม่ๆ อย่าได้เพ่งมโนภาพจนเกินไป ต้องค่อยๆเพ่ง
.........เพียงขอให้ระลึกได้ถึงความทุกข์ความโศกเศร้าของเขาเหล่านั้นเป็นที่ตั้ง
.........หนึ่งวันของภูมิมนุษย์เท่ากับ สองพันปีของภพวิญญาณ พวกเขาได้แต่หิวโหยแต่ไม่ตาย
.........ได้แต่ทนทุกข์ทรมานทุกๆเวลา มิอาจหยุดพัก จิตฟุ้งซ่านและอัตตาของเราจะทำให้เขาไม่สามารถรับอานิสงค์ต่างๆได้
.........แต่หากเราบังเกิดใจเมตตากรุณาและปณิธานที่จะฉุดช่วย ก็มีโอกาสทำให้เขาได้ไปเกิดยังภพภูมิที่ดียิ่งขึ้นได้
.........อาจจะได้ไปเกิดยังแดนสุขาวดีก็เป็นได้เช่นกัน ขอให้ตั้งจิตมั่นกล้าทำเปรตพลีซือสือนี้เถิด
.........การปฏิบัติของเธอกับพระโพธิสัตว์นั้นก็ไม่แตกต่าง พุทธะโพธิสัตว์ทั้งหลาย
.........เทพพรหมธรรมบาลทุกเหล่าต่างอนุโมทนาแก่เธอ ต้องเชื่อมั่นในตน เชื่อในในพระธรรม
-----------------------------------------------------------------
.........4/ พระอาจารย์เหลียนฉือมักนำตัวอย่างของพระสงฆ์มาแสดง ที่ต่างจากเราท่านทั้งหลาย เพราะอะไรหรือ?
.........เพราะว่าพระผู้ทำพิธีเปรตพลี เป็นตัวแทนถือบาตรและจีวรของพระตถาคตเจ้า
.........หากสงฆ์เหล่านั้นไม่เคารพสำรวมต่อพระรัตนตรัย มิศรัทธาจริงต่อธรรมะ ฉะนั้นผลกรรมจึงหนักมาก
.........ในทางกลับกัน ในส่วนฆราวาสทั้งหลาย เพียงแค่การบังเกิดจิตทำการเปรตพลีซือสือก็นับว่ายิ่งใหญ่มากแล้ว
.........เราอาจจะต้องเผชิญกับความกลัว ความกังวล เริ่มมีจิตฟุ้งซ่าน พุทธะโพธิสัตว์ทั้งหลายนั้นก็เข้าใจและให้อภัยเราได้
.........ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์อาจจะเกื้อหนุนให้เราได้สงบจิตสงบใจได้มากขึ้น ให้เราเกิดวิริยะมากขึ้น ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งถูกต้องมากขึ้น .........อาตมามีความคิดเช่นนี้ ตั้งแต่อาตมาทำซือสือมา ก็เคยเกิดความฟุ้งซ่านขึ้นในจิต แต่อาตมามักจะรู้สึกว่าพวกเขาเมตตากรุณามากกว่าอาตมาเสียอีก พวกเขาล้วนเข้าใจตัวอาตมามากกว่าตัวเองเสียอีก
-----------------------------------------------------------------
.........5/ พวกเราเป็นคนธรรมดา มิใช่พระ เป็นคนธรรมดาที่ได้บังเกิดจิตปณิธานแห่งมหายานธรรม
.........ถึงแม้การศึกษาธรรมะของเรายังไม่กลมสมบูรณ์ ยังโง่เขลาอยู่ แต่อาตมาเชื่อมา พุทธะโพธิวัตว์ทั้งหลายจะช่วยเหลือพวกเรา ไม่ละทิ้งเด็ดขาด
.........จุดนี้ถือว่าสำคัญมาก พระกษิครรภ์โพธิสัตว์เคยช่วยเหลืออาตมาหลายครั้ง หนึ่งในนั้นคือ ขณะทำซือสือนั่นเอง
.........ก่อนจะทำพิธี อาตมาก็วอนขอพระองค์ฯ หรือกระทั่งตอนสวดแผ่บุญกุศลก็มักอธิษฐานว่า ขอให้พุทธะโพธิสัตว์ทั้งหลาย เทพนาคราชทั้งแปดฝ่าย ช่วยให้การซือสือเรียบร้อยสมบูรณ์ ไร้อุปสรรคใดๆ
.........หรือขอให้พระโพธิสัตว์ทั้งปวงชำระบาปทั้งสามของอาตมาให้บริสุทธิ์ ซือสือไร้อุปสรรคใดๆ
.........จากนั้นก็ทำตามพิธีกำหนดก็เป็นอันใช้ได้แล้ว หากขณะทำพิธีเกิดผิดพลาดบ้าง เช่นลืมดีดนิ้วเจ็ดครั้ง หรือลืมบทมนต์บางบท นั่นเป็นเพราะเราเกิดจิตฟุ้งซ่าน เกิดความกลัวกังวลขึ้นนั่นเอง
.........แต่ขอให้วางใจ สิ่งนี่ไม่ได้ทำให้เรานั้นประสบเหตุเภทภัยใดๆหรอก
-----------------------------------------------------------------
.........6/ ปัญหาต่างๆ เกิดเพราะใจของเรา ต้องเริ่มแก้ไขจากความคิด อย่ารีบร้อนเพ่งมโนภาพ อย่าลังเลสงสัยว่าจะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ ทำถูกหรือไม่ เป็นต้น
.........เธออาจจะเพ่งมองภาพของพระอมิตตาภพุทธเจ้าสม่ำเสมอ น้อมนำภาพพระองค์ประทับไว้ในจิต ในความคิด
.........ขณะทำพิธีให้นึกว่ารัศมีของพระองค์อยู่เบื้องหน้า รอบกายเป็นดอกบัวมากมาย
.........การมโนภาพเช่นนี้ช่วยให้สรรพสัตว์ทั้งหกภูมิได้รับการฉุดโปรดหลุดพ้น พวกเขาเหล่านั้นจะหลุดพ้นได้เพราะกำลังมโนภาพของเธอนั้นเอง จะต้องไม่ลังเลสงสัย
-----------------------------------------------------------------
.........7/ ในการสวดพระนาม ให้นึกภาพสี่พระพุทธะได้แปรสิ่งที่ไม่งาม ให้กลายเป็นสิ่งสวยงามน่าชม
.........จากเล็กแปรเป็นใหญ่ ไร้เมตตาก็แปรเป็นมหาเมตตา โลภะ เปลี่ยนเป็น เสียสละปล่อยวาง เป็นต้น...
.........นอกจากนั้น ก่อนทำซือสือควรแปรงฟันให้สะอาดหมดจด ของใช้ในพิธีห้ามใช้เป็นของตนเอง
.........หลายๆ ครั้งอาตมาลืมล้างมือแปรงฟัน อาตมาจึงน้อมกราบพระโพธิสัตว์ทั้งหลายชำระกรรมทั้งสามให้บริสุทธิ์เสียก่อน
.........การนอบน้อมเคารพถือเป็นเรื่องสำคัญ จะต้องนอบน้อมเคารพสรรพสัตว์ทั้งหกภพภูมิ ด้วยจิตที่เคารพดั่งเคารพพ่อแม่และพระพุทธะโพธิสัตว์เช่นกัน
.........ไม่แตกต่าง หากใจของเธอเสมอภาคแล้ว สงบแล้ว นอบน้อมสำรวมแล้ว ก็จะทำพิธีได้ดี
.........หากมีกิจธุระไม่สามารถซือสือได้ ก็อย่าได้กังวลใจเกินไป จงจำไว้ว่าจะต้องรักษาใจให้สงบผ่อนคลาย
.........หากเธอสงบแล้ว บรรดาดวงจิตทั้งหลายก็จะยิ่งปีติสุขในสิ่งที่เธอนั้นได้ประพฤติปฏิบัติดีแล้วนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น